วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

บทวิเคราะห์แนวโน้มราคา ทองคำ และ เงิน วันที่ 8 กันยายน 2554 โดยบริษัท คลาสสิกโกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด (ช่วงเย็น)

บทวิเคราะห์แนวโน้มราคา ทองคำ และ เงิน วันที่ 8 กันยายน 2554 โดยบริษัท คลาสสิกโกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด (ช่วงเย็น)

ราคาทองคำมีแนวรับที่ 1,790 แนวต้านที่ 1,870 แนวโน้มระยะสั้นการ rebound น่าจะป็นเพียงช่วงสั้นๆ โดยราคาจะปรับลงต่อ โดยมีแนวโน้มจะเกิด Double top

คาดว่าจะ rebound ช่วงสั้นๆ

ราคาทองคำในตลาดเอเชียเปิดตลาดตอนเช้าที่บริเวณ 1837 USDต่อออนซ์ โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1826-1843 USDต่อออนซ์ ราคาทองคำมีการลดตัวลงในช่วง 2 วันที่ผ่านมาโดยมีแรงเทขายทำกำไรเพือนำเงินกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้มีการ rebound ของตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐ โดยมีเหตุการณ์สำคัญๆ มาจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนีมีคำสั่งยกฟ้องรัฐบาลเยอรมนีในข้อหาจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ประเทศที่มีหนี้ในยูโรโซนและตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ รายงาน Beige Book ที่ระบุว่าเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงมีการขยายตัวปานกลาง ขณะนักลงทุนจับตาดูประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในการแถลงนโยบายกระตุ้นการสร้างงานต่อสภาคองเกรสในช่วงเช้าวันศุกร์ตามเวลาประเทศไทย

ทั้งนี้คำสั่งยกฟ้องรัฐบาลเยอรมนีในข้อหาจ่ายเงินสมทบมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศที่มีหนี้ในยูโรโซน ของศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ขัดขวางการจ่ายเงินช่วยเหลือของรัฐบาลเยอรมนี ในการจะช่วยวิกฤตหนี้ยุโรปความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากที่รัฐสภาเยอรมนีได้เข้าร่วมในกองทุนช่วยเหลือกรีซเมื่อเดือนพ.ค.2553 เพื่อช่วยให้กรีซรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ และมีส่วนร่วมในกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) มูลค่า 4.40 แสนล้านยูโร (6.20 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ด้วยการจ่ายเงินสมทบ 1.47 แสนล้านยูโร (2.07 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการค้ำประกันเงินกู้ จากแนวโน้มนี้ทำให้คาดว่การแก้ปัญหาวิกฤติยุโรปน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอันส่งผลเชิงลบกับราคาทองคำและทำให้ราคาทองปรับตัวลดลง

รายงาน Beige Book ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจ 12 เขตของเฟดระบุว่า "กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงขยายตัวเพียงเล็กน้อยถึงแม้บางเขตรายงานว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะไร้ทิศทางหรืออ่อนแอลง" ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะเฉื่อยชาของสหรัฐไม่สามารถเร่งตัวขึ้นได้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาและอ่อนแอลงในบางพื้นที่ของสหรัฐ ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้รับแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดหุ้นและการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม เฟดระบุว่า การดิ่งอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นนับตั้งแต่กลางเดือนก.ค.และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจในบางภูมิภาคมีแนวโน้มในทางลบมากขึ้น

Beige Book ฉบับล่าสุดนี้บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ซบเซาไม่มากเท่ากับรายงานฉบับก่อนที่ครอบคลุมภาวะเศรษฐกิจจนถึงช่วงต้นเดือนก.ค. โดยรายงานฉบับล่าสุดนี้ระบุว่าเขตเศรษฐกิจบางเขตมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำหรืออ่อนแอ และบางเขตมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงหรืออยู่ในระดับต่ำ


กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF ) เปิดเผยว่า ไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่เผชิญวิกฤตหนี้ จำเป็นต้องเดินหน้าปฏิรูปการเงินและด้านการคลังอย่างต่อเนื่อง ไอร์แลนด์ได้รับเงินช่วยเหลือ 8.5 หมื่นล้านยูโร (ประมาณ 1.20 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากสหภาพยุโรปและIMF หลังจากประเทศเผชิญปัญหาหนี้สินและยอดขาดดุลมหาศาลที่ทำให้ไอร์แลนด์เสี่ยง ต่อภาวะล่มสลาย และได้ออกพันธบัตรครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก.ย.2553ทั้งนี้ IMF แนะนำว่า ไอร์แลนด์จำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปภาคการเงินเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่น ด้านการสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในระยะกลางและผลักดันการปฏิรูปทางโครงสร้างเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์ประมาณการว่า ธนาคารสหรัฐอาจเผชิญกับการขาดทุนมากถึง 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ หากการฟ้องร้องของสำนักงานบริการการเงินเพื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FHFA) เกี่ยวกับพันธบัตรจำนอง FHFA ได้ฟ้องร้องธนาคาร 17 แห่งในข้อหาเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเมื่อทำการขายหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (MBS) วงเงินประมาณ 1.96 แสนล้านดอลลาร์ให้กับแฟนนี เมและเฟรดดี แมค

นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าสหรัฐจะขาดดุลการค้า 5.10 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ลดลงจาก 5.307 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 3 ก.ย.คาดว่า จะอยู่ที่ 405,000 รายลดลงจาก 409,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้าโพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล,สต็อกน้ำมันกลั่นอาจทรงตัว, สต็อกน้ำมันเบนซินอาจลดลง 1.7 ล้านบาร์เรลและอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจลดลง 1.1%นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า สต็อกสินค้าภาคค้าส่งจะเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนก.ค. หลังเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย.

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

ราคาทองคำมีแนวรับที่ 1,790 แนวต้านที่ 1,870 แนวโน้มระยะสั้นการ rebound น่าจะป็นเพียงช่วงสั้นๆ โดยราคาจะปรับลงต่อ โดยมีแนวโน้มจะเกิด Double top
ราคาโลหะเงินมีแนวรับที่ 40.8 และแนวต้านที่ 42.5 แนวโน้มระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจาก CCI และ MACD, Stochastic คาดว่าจะปรับตัวขึ้นช่วงสั้นๆ


อบรมทุกวันอังคารและพฤหัส ที่ออฟฟิศอาคารจตุรัสจามจุรี ชั้น 12สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เบอร์โทร 02 618 0808,

http://www.classicgoldfutures.co.th/
http://www.classicgold.co.th/
http://www.chiabsengheng.co.th/
http://www.facebook.com/ClassicGoldGroup
http://www.youtube.com/ilovecgf
http://www.twitter.com/ilovecgg
http://classicgoldfutures.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น