บทวิเคราะห์แนวโน้มราคา ทองคำ และ เงิน วันที่ 21 กันยายน 2554 โดยบริษัท คลาสสิกโกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด (ช่วงเย็น)
ราคาทองคำมีแนวรับที่ 1,770 1,750 แนวต้านที่ 1,816 1,843 แนวโน้มราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ DownTrend Line หากราคาผ่าน 1,816 – 1,825 ไปได้ เป็นสัญญาณที่ดีว่าจะพ้นจาก DownTrend
แนวโน้มราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ รอผลประชุม Fed
ราคาทองคำในตลาดเอเชียเปิดตลาดตอนเช้าที่บริเวณ 1,802 USDต่อออนซ์ โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1,797 – 1,814 USDต่อออนซ์ ราคาได้เพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,816 USDต่อออนซ์ในช่วงเช้าของวันพุธ แต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ ถ้าหากผ่านได้จะเป็นสัญญาณที่ดีเนื่องจากทะลุผ่านเส้น down trend line แต่เมื่อยังผ่านไม่ได้ราคาได้ปรับตัวลดลงมาอีกครั้ง คาดว่าความเคลื่อนไหวในช่วงนี้เป็น side way down โดยมีปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตามองและคาดว่าจะมีผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงนี้ ได้แก่ ปัญหาหนี้ของกรีซ IMF ปรับลด GDP และผลการประชุม Fed
กรีซสัญญาที่จะปรับลดหนี้สาธารณะลงอีกตามข้อเรียกร้องของเจ้าหนี้ เพื่อให้ได้รับเงินกู้ภายใต้แผนการให้ความช่วยเหลือ และหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่กรีซมีตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรจำนวน 1.646 หมื่นล้านยูโร (2.25 หมื่นล้านดอลลาร์) ซึ่งครบกำหนดไถ่ถอนภายในสิ้นปีนี้ กรีซจำเป็นต้องใช้ความพยายามที่จะโน้มน้าวให้ IMF และสหภาพยุโรปมีการปล่อยกู้เพิ่มขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลายในเดือนหน้า โดยกรีซจำเป็นต้องได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 8 พันล้านยูโรภายในเดือนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดสภาพคล่อง
IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP โลกเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ โดยได้ปรับ GDP Growth ของโลกปี 2554 -2555 ลดลงเหลือเพียง 4% ในแต่ละปี และปรับลด GDP Growth ของสหรัฐฯ และยุโรป ปี 2554 ลงจากเดิม 2.5% เหลือ 1.5% และจาก 2% เหลือ 1.6% ตลามลำดับ เช่นเดียวกับปี 2555 ที่ปรับลดลงจากเดิม 2.7% และ 1.7% เหลือ 1.8% และ 1.1% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ IMF มีสมมติฐานในเชิงบวกพอสมควร เนื่องจากเชื่อว่าวิกฤตหนี้ในยุโรปยังควบคุมได้ และเศรษฐกิจสหรัฐฯจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งหากภาพดังกล่าวไม่สอดคล้องความเป็นจริง คือปัญหาหนี้ในยุโรปและสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมได้จนก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย IMF ก็พร้อมจะปรับลด GDP Growth โลกลงเหลือเพียง 3% จากปัจจุบัน และ IMF ระบุว่า เฟดควรเตรียมพร้อมที่จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่เผชิญความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ
การประชุมของ Fed วันแรก คาดว่าจะเปิดเผยผลการประชุมกำหนดนโยบายในคืนวันพุธนี้เวลา 01.15 น. นักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะใช้มาตรการ "Operation Twist" หรือ การเพิ่มอายุการไถ่ถอนของสินทรัพย์ในงบดุล โดยมีเป้าหมายเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้สภาพคล่องสกุลเงินดอลลาร์ในระบบการเงินสูงขึ้น และสร้างแรงกดดันให้กับมูลค่าของดอลลาร์ โดยการที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดลง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคทำการรีไฟแนนซ์(การกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระหนี้เก่า)สัญญาจำนองมากยิ่งขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดลง มาตรการดังกล่าวอาจจะทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในหุ้นและหุ้นกู้ภาคเอกชนและขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นักลงทุนจะโยกย้ายเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นมากยิ่งขึ้นเพื่อแสวงหาสิ่งที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ในช่วง 0 - 0.25%
จาก GDP ของสหรัฐฯที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำแต่การดำเนินนโยบายการเงิน QE ของเฟดในช่วงที่ผ่านมาก็ได้ช่วยให้สหรัฐฯ ไม่ต้องประสบกับภาวะเงินฝืดเป็นเวลานานในช่วงต้นปีนี้ และจากอัตราการว่างงานในสหรัฐยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 9.1%, การจ้างงานไม่เพิ่มขึ้นในเดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจกับผู้บริโภคตกต่ำลงเจ้าหน้าที่กลุ่มหลักของ Fedจึงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้เฟดดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยเจ้าหน้าที่กลุ่มหลักนี้รวมถึงนายเบอร์นันเก้, นางเจเน็ต เยลเลน รองประธานเฟด และนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ค
สมาชิกสภาคองเกรสซึ่งเป็นแกนนำพรรครีพับลิกันได้แจ้งต่อธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ว่า เฟดไม่ควร "แทรกแซง" เศรษฐกิจอีกต่อไป และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐได้ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นหรือช่วยให้อัตราการว่างงานลดลง" และยังบอกอีกด้วยว่า นโยบายของเฟดในช่วงที่ผ่านมาไม่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน ถึงแม้ว่าอัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับสูงกว่า 9%การที่ธนาคารกลางสหรัฐดำเนินการแทรกแซงต่อไปอาจส่งผลให้ปัญหาในปัจจุบันทวีความรุนแรงขึ้น หรืออาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากยิ่งขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า QE3 คงไม่เกิดขึ้น เนื่องจากสมาชิกจากพรรครีพับลิกันไม่เห็นด้วย
สถาณะการณ์ตอนนี้หาก Fed ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง โดยมีผลให้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่า ราคาทองคำน่าจะปรับตัวขึ้นไปได้ แต่จะขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมของเศรษฐกิจโลก หากไม่มีปัจจัยหนุนราคาทองคำ ราคาทองคำก็อาจจะไม่ขึ้นในช่วงเวลานี้
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
++ ราคาทองคำมีแนวรับที่ 1,770 1,750 แนวต้านที่ 1,816 1,843 แนวโน้มราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ
DownTrend Line หากราคาผ่าน 1,816 – 1,825 ไปได้ เป็นสัญญาณที่ดีว่าจะพ้นจาก DownTrend
++ ราคาโลหะเงินมีแนวรับที่ 39.3 และแนวต้านที่ 41.4 แนวโน้มระยะสั้น คาดว่าจะยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
อบรมทุกวันอังคารและพฤหัส ที่ออฟฟิศอาคารจตุรัสจามจุรี ชั้น 12
สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เบอร์โทร 02 618 0808, http://www.classicgoldfutures.co.th/ http://www.classicgold.co.th/ http://www.chiabsengheng.co.th/ http://www.facebook....lassicGoldGroup http://www.youtube.com/ilovecgf http://www.twitter.com/ilovecgg http://classicgoldfu...s.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น