วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์แนวโน้มราคา ทองคำ และ ซิลเวอร์ วันที่ 12 มกราคม 2555 โดยบริษัท คลาสสิกโกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด (ช่วงเย็น)

บทวิเคราะห์แนวโน้มราคา ทองคำ และ ซิลเวอร์ วันที่ 12 มกราคม 2555 โดยบริษัท คลาสสิกโกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด (ช่วงเย็น)

ราคาทองคำมีแนวต้านที่ 1,650/1,660 และแนวรับที่ 1,630/1,615 กราฟรายวัน ส่งสัญญาณบวก เมื่อราคาทองคำสามารถยืนเหนือ 1,640 และ MA 9 วัน ตัดขึ้น MACD เป็นลบลดลง มีแนวโน้มขึ้นต่อได้ แต่อาจถูกขายทำกำไรในทุกๆ แนวต้าน โดยบริเวณ 1,645-1,650 เป็นแนวต้านสำคัญ หากยืนอยู่ได้ มีโอกาสขึ้นต่อได้อีก แนะนำ Trading ในกรอบ 1,615 – 1,660 นักลงทุนที่เปิด Short ไว้บริเวณ 1,640 หาจังหวะปิด Short ทำกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวบริเวณ 1,630/1,615

อิทธิพลจากตลาด Physical

ราคาทองคำเปิดตอนเช้าตามเวลาตลาดเอเซีย วันที่ 12 ม.ค. อยู่ที่บริเวณ 1,642.79 USD ต่อออนซ์ โดยเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,642 – 1,647 USD ต่อออนซ์ ราคาทองคำทรงตัว ก่อนผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป และผลการประมูลพันธบัตรของสเปนในวันนี้ ทั้งนี้ ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากปัจจัยบวกจากตลาด Physical ทั้งตลาดจีน ที่มีปริมาณนำเข้ากว่า 100 ตัน ในปลายปีที่แล้ว และแรงซื้อทองคำ จากชาวอินเดีย ซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด ก่อนช่วงเทศกาลแต่งงานของชาวอินเดีย ขณะที่ปัจจัยบวกอาจถูกสกัดกั้นโดยความวิตกเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ยูโรโซน ก่อนการประมูลพันธบัตรของสเปน รวมถึงการประกาศมติอัตราดอกเบี้ยและการแสดงความเห็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) คาดว่าหากราคาทองคำยังคงยืนเหนือ 1,640 มีแนวโน้มขึ้นไปแตะที่ 1,660/1,670 อย่างไรก็ตามอาจมีแรงขายทำกำไรในทุกๆ แนวต้าน โดยคาดว่าราคาทองคำ เคลื่อนไหวในกรอบ 1,615 – 1660

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1% ในการประชุมวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะรับมือกับวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน หลังจากที่อีซีบีได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกันก่อนหน้านี้ขณะเดียวกันยังคาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ในการประชุมวันนี้เช่นกัน

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ (SHFE) ประกาศขึ้นค่ามาร์จิ้น หรือเงินประกันขั้นต่ำที่นักลงทุนจะต้องวางไว้กับบริษัทโบรกเกอร์ สำหรับสัญญาทองคำและอลูมิเนียม จากระดับ 7% เป็น 10% พร้อมกับปรับเพิ่มค่ามาร์จิ้นสำหรับสัญญาสังกะสี ตะกั่ว และสัญญาน้ำมันเชื้อเพลิง จากระดับ 8% เป็น 11% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.เป็นต้นไป นอกจากนี้ ตลาด SHFE ยังได้ปรับเพิ่มเพดานความเคลื่อนไหวของสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ปรับตัวขึ้นลง ในการซื้อขายวันถัดไปได้ไม่เกิน 6% จากเดิม 5% ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้มีเป้าหมายที่จะป้องกันความเสี่ยงในช่วงเทศกาล ตรุษจีน (21-29 ม.ค.) ทั้งนี้ ตลาด SHFE จะเริ่มปรับค่ามาร์จิ้นสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติในวัน ที่ 30 ม.ค. และจะปรับเพดานการซื้อขายสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมในวัน ที่ 31 ม.ค.

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงาน Beige Book ซึ่งเป็นรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตในสหรัฐ ครั้งล่าสุด เมื่อคืนนี้ (11 ม.ค.) ตามเวลาไทย โดยระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจใน 7 เขตของสหรัฐขยายตัวปานกลาง และเศรษฐกิจในอีก 5 เขตมีการรายงานอัตราการขยายตัวในระดับที่แตกต่างกันไป โดยเขตนิวยอร์กและชิคาโกรายงานว่าเศรษฐกิจเริ่มมีการขยายตัว ขณะที่เขตดัลลัสและซานฟรานซิสโกรายงานว่าเศรษฐกิจขยายตัวปานกลาง และเขตริชมอนด์ รายงานว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย FED ออกรายงาน Beige Book ชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเทศกาลวันหยุด ขณะที่ธุรกิจการเดินทางและท่องเที่ยวขยายตัวในเกือบทุกเขต ด้านอุปสงค์ในธุรกิจบริการนอกภาคการเงินยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่กิจกรรมด้านการผลิตยังคงขยายตัวได้ดีในเกือบทุกเขต แม้อัตราการขยายตัวในภาคการผลิตบางประเภท เช่นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี จะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม อย่างไรก็ตาม เฟดระบุว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยยังคงซบเซา และสภาวะในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์โดยรวมยังคงย่ำแย่ แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหลายเขตมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น
การประชุม และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่
- ธนาคารกลางอังกฤษประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) วันสุดท้าย แถลงมติดอกเบี้ย
- ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประชุมและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย
- 20.30 น. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.
- 20.30 น. กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
- 22.00 น. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย.
- 23.00 น. กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนธ.ค.

การวิเคราะห์ทางเทคนิค
++ ราคาทองคำมีแนวต้านที่ 1,650/1,660 และแนวรับที่ 1,630/1,615 กราฟรายวัน ส่งสัญญาณบวก เมื่อราคาทองคำสามารถยืนเหนือ 1,640 และ MA 9 วัน ตัดขึ้น MACD เป็นลบลดลง มีแนวโน้มขึ้นต่อได้ แต่อาจถูกขายทำกำไรในทุกๆ แนวต้าน โดยบริเวณ 1,645-1,650 เป็นแนวต้านสำคัญ หากยืนอยู่ได้ มีโอกาสขึ้นต่อได้อีก แนะนำ Trading ในกรอบ 1,615 – 1,660 นักลงทุนที่เปิด Short ไว้บริเวณ 1,640 หาจังหวะปิด Short ทำกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวบริเวณ 1,630/1,615
++ ราคาโลหะเงินมีแนวรับบริเวณ 29.2/28.5 แนวต้านบริเวณ 30.2/30.4 แนะนำนักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบ 28.5 – 30.4


อบรมทุกวันอังคารและพฤหัส ที่ออฟฟิศอาคารจตุรัสจามจุรี ชั้น 12
สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เบอร์โทร 02 618 0808,
http://www.classicgoldfutures.co.th
http://www.classicgold.co.th
http://www.chiabsengheng.co.th
http://www.facebook....lassicGoldGroup
http://www.youtube.com/ilovecgf
http://www.twitter.com/ilovecgf
http://classicgoldfutures.blogspot.com
http://itunes.apple....d464234361?mt=8 https://plus.google....509313835/posts https://market.andro...les.classicgold

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น